การบริหารความเสี่ยง
เรามุ่งมั่นพัฒนาระบบการบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ สามารถระบุ ประเมิน ติดตาม และจัดการความเสี่ยงได้อย่างรอบด้าน ครอบคลุมทั้งความเสี่ยงทางธุรกิจ ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) รวมถึงความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีและภัยคุกคามในยุคดิจิทัล โดยผสานเข้ากับกระบวนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในทุกระดับ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน พร้อมรักษาความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระยะยาว
การบริหารจัดการความเสี่ยง
เครือเจริญโภคภัณฑ์ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงในทุกระดับขององค์กร เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
โดยมีการกำหนดแนวปฏิบัติด้านการบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุมทั้งองค์กร พร้อมทั้งทบทวนโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงเพื่อกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบอย่างชัดเจน รวมถึงการสื่อสารและการฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยง และการแบ่งปันความรู้ด้านการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้นำแนวคิด Three Lines of Defense มาใช้ในการบริหารความเสี่ยง โดยเน้นการดำเนินงานในสองแนวป้องกันแรก ดังนี้:
แนวป้องกันที่หนึ่ง: การบริหารความเสี่ยงโดยหน่วยปฏิบัติการ
หน่วยธุรกิจและพนักงานด่านหน้า รวมถึงผู้จัดการความเสี่ยงและหัวหน้าหน่วยธุรกิจ มีหน้าที่โดยตรงในการระบุ ประเมิน และบริหารจัดการความเสี่ยงในกิจกรรมประจำวัน ดำเนินมาตรการควบคุม ติดตามตัวชี้วัดความเสี่ยงหลัก และรายงานความคืบหน้าในการลดความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
แนวป้องกันที่สอง: การกำกับดูแลและสนับสนุนการบริหารความเสี่ยง
สำนักงานบริหารความเสี่ยงองค์กร และคณะกรรมการด้านการบริหารความเสี่ยงในระดับผู้บริหาร ทำหน้าที่กำหนดกรอบการบริหารความเสี่ยง นโยบาย และมาตรฐาน ควบคู่กับการให้คำแนะนำและการตรวจสอบความมีประสิทธิผลของการควบคุม เพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติตามนโยบายภายในและข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ
แนวป้องกันที่สาม:หน่วยตรวจสอบภายในที่มีความเป็นอิสระ
สำนักตรวจสอบภายในซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระจากฝ่ายบริหาร และรายงานต่อคณะกรรมการตรวจสอบ ทำหน้าที่ให้ความเชื่อมั่นอย่างเป็นกลางเกี่ยวกับประสิทธิผลของระบบกำกับดูแล การบริหารความเสี่ยง และกระบวนการด้านการกำกับดูแลและการปฏิบัติตามข้อกำหนด รวมถึงความเสี่ยงเชิงปฏิบัติการ ความเสี่ยงด้านความยั่งยืน และความเสี่ยงเกิดใหม่
การวิเคราะห์ความเสี่ยง
เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้พัฒนาระบบบริหารความเสี่ยงที่มีความครอบคลุมในระดับองค์กร (Enterprise Risk Management – ERM) โดยยึดหลักการบริหารความเสี่ยงตามแนวทาง COSO ERM ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล เพื่อสร้างระบบที่สามารถระบุ ประเมิน ตอบสนอง และติดตามความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ
ในขั้นตอนการ ระบุความเสี่ยง (Risk Identification) เครือเจริญโภคภัณฑ์ใช้วิธีการประเมินร่วมกันระหว่างผู้บริหารระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และหน่วยงานบริหารความเสี่ยง โดยมีการวิเคราะห์ทั้งปัจจัยภายใน เช่น กระบวนการปฏิบัติงาน โครงสร้างองค์กร และการใช้เทคโนโลยี และปัจจัยภายนอก เช่น ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ กฎระเบียบใหม่ สภาพแวดล้อม และแนวโน้มทางสังคม เพื่อระบุความเสี่ยงทั้งในระดับยุทธศาสตร์และระดับปฏิบัติการ โดยใช้เครื่องมือ เช่น SWOT Analysis, PESTEL Analysis, และ Risk Workshops ที่มีการระดมความคิดเห็นจากหลากหลายฝ่าย
สำหรับการ กำหนดขอบเขตความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Appetite) เครือฯ ใช้กระบวนการแบบ Top-down และ Bottom-up ร่วมกัน โดยเริ่มจากคณะกรรมการระดับสูงที่กำหนดกรอบแนวทางขององค์กรและความทนทานต่อความเสี่ยงในภาพรวม (Risk Tolerance) จากนั้นหน่วยธุรกิจนำกรอบนั้นไปประยุกต์ใช้ในบริบทของแต่ละหน่วยงาน
เครื่องมือที่ใช้ในการกำหนด Risk Appetite ประกอบด้วยการจัดระดับความเสี่ยง (Risk Rating) ตามความน่าจะเป็น (Likelihood) และผลกระทบ (Impact) พร้อมการใช้ Heat Map เพื่อจำแนกความเสี่ยงที่ต้องจัดการในระดับสูง นอกจากนี้ยังมีการจัดทำ Risk Criteria ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ เช่น ความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการ ภาพลักษณ์องค์กร หรือความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
Risk Appetite ขององค์กรจะถูกทบทวนเป็นประจำอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง หรือเมื่อมีสถานการณ์เปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เช่น การขยายธุรกิจ การลงทุนใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย ทั้งนี้เพื่อให้แนวทางการบริหารความเสี่ยงยังคงทันสมัยและตอบสนองต่อบริบทที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้วิเคราะห์ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ ดังนี้

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง
ผลกระทบของความเสี่ยง:
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงถือเป็นหนึ่งในความเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เช่น คลื่นความร้อน ฝนตกหนัก ภัยแล้ง และพายุที่รุนแรง กำลังทวีความถี่และความรุนแรงมากขึ้น พร้อมทั้งส่งผลกระทบเชิงลบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ความมั่นคงทางอาหาร ความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐาน และเสถียรภาพของเศรษฐกิจโดยรวม สำหรับเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่มีการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตร อาหาร การผลิต และการขนส่ง จึงมีความเสี่ยงโดยตรงต่อผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตร การลดลงของผลผลิตอาหาร ความเสียหายต่อทรัพย์สินและโครงสร้างพื้นฐาน ความเสี่ยงต่อความต่อเนื่องของการขนส่ง ต้นทุนพลังงานที่ผันผวน ตลอดจนผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภคและความคาดหวังด้านความยั่งยืน นอกจากนี้ เหตุการณ์สภาพอากาศที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานซึ่งอาจส่งผลกระทบเชิงระบบต่อการดำเนินธุรกิจของเครือฯ
การบริหารความเสี่ยง:
เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ดำเนินการตามแนวทางบริหารความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นระบบ เพื่อลดผลกระทบจากความเสี่ยงดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศในระดับธุรกิจและระดับห่วงโซ่อุปทาน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีความทนทานต่อสภาพอากาศ การส่งเสริมการผลิตและการเกษตรที่ใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน การเร่งพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการปรับตัว เช่น เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) และการใช้ระบบพลังงานหมุนเวียนภายในองค์กร อีกทั้ง ยังมุ่งมั่นบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเสริมสร้างความสามารถในการจัดการน้ำและทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ

เสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์
ผลกระทบของความเสี่ยง:
ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ความตึงเครียดระหว่างประเทศ ความขัดแย้งทางการค้า และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ทวีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เครือเจริญโภคภัณฑ์ตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย การใช้มาตรการควบคุมทางการค้า และข้อจำกัดด้านการลงทุน ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจในระดับสากลของเครือฯ ไม่ว่าจะเป็นความล่าช้าหรือการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ต้นทุนวัตถุดิบที่ผันผวนจากข้อจำกัดทางการค้า รวมถึงความเสี่ยงด้านการลงทุนในต่างประเทศจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและข้อบังคับ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงเชิงภาพลักษณ์ที่อาจเกิดขึ้นหากประเทศคู่ค้าของเครือฯ ประสบปัญหาความขัดแย้งหรือถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ
การบริหารความเสี่ยง:
เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ดำเนินมาตรการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบด้าน เพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ อาทิ การกระจายฐานการผลิต ฐานการจัดหา และตลาดเป้าหมายไปยังหลายประเทศ การติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด การพัฒนาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรในประเทศต่าง ๆ การจัดทำแผนสำรองและแผนฟื้นฟูธุรกิจในกรณีฉุกเฉิน รวมถึงการเสริมสร้างการกำกับดูแลการลงทุนในต่างประเทศโดยคำนึงถึงปัจจัยด้านกฎหมาย สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน

ภัยคุกคามและการละเมิดด้านความมั่นคงทางไซเบอร์
ผลกระทบของความเสี่ยง:
การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ได้เพิ่มขีดความสามารถของอาชญากรไซเบอร์ในการโจมตีระบบสารสนเทศในรูปแบบที่ซับซ้อนและยากต่อการป้องกันมากยิ่งขึ้น การละเมิดข้อมูล การโจมตีด้วยมัลแวร์ และการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ล้วนส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ความต่อเนื่องของธุรกิจ และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจสำหรับเครือเจริญโภคภัณฑ์ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางไซเบอร์มีผลกระทบที่สำคัญต่อหลายมิติของการดำเนินงาน เช่น ความเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลลูกค้าและคู่ค้า ความเสี่ยงด้านการหยุดชะงักของระบบธุรกิจดิจิทัล ความเสี่ยงด้านการสูญเสียรายได้และค่าปรับจากการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนความเสียหายต่อภาพลักษณ์และความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม
การบริหารความเสี่ยง:
เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ดำเนินมาตรการป้องกันและตอบสนองอย่างรอบด้าน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและลดความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์ ได้แก่ การลงทุนในเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่ทันสมัย เช่น ระบบตรวจจับภัยคุกคามเชิงรุก และระบบตอบสนองเหตุการณ์ด้านไซเบอร์ การพัฒนานโยบายและแนวปฏิบัติด้านความมั่นคงไซเบอร์ให้ครอบคลุมทุกหน่วยงาน การฝึกอบรมและสร้างจิตสำนึกด้านความมั่นคงไซเบอร์ให้กับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ และการจัดทำแผนต่อเนื่องทางธุรกิจที่สอดคล้องกับความเสี่ยงไซเบอร์ นอกจากนี้ ยังมีการทบทวนและทดสอบมาตรการความมั่นคงไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าความเสี่ยงจากภัยคุกคามไซเบอร์จะได้รับการบริหารจัดการอย่างมี สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้มีส่วนได้เสีย และรองรับการเติบโตอย่างปลอดภัยในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

ความปลอดภัยอาหารและความมั่นคงทางชีวภาพ
ผลกระทบของความเสี่ยง:
การแพร่ระบาดของโรคสัตว์ โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน รวมถึงการปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหารเป็นตัวเร่งให้ความปลอดภัยอาหารและความมั่นคงทางชีวภาพได้ขยับขึ้นมามีความเสี่ยง ซึ่งการจัดการที่ไม่เป็นระบบอาจนำไปสู่ผลกระทบในวงกว้างทั้งในด้านสุขภาพของผู้บริโภค ความมั่นคงด้านอาหาร และความเชื่อมั่นต่อระบบการผลิตและการกระจายอาหารในระดับโลก สำหรับเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อาหารโลก ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอาหารและความมั่นคงทางชีวภาพจึงมีผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจของเครือฯ ทั้งในแง่ของความเสี่ยงด้านกฎหมายและการกำกับดูแล ความเสี่ยงต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค ตลอดจนความเสี่ยงเชิงภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้เสีย
การบริหารความเสี่ยง:
เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ดำเนินการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยตั้งแต่ต้นน้ำ การนำมาตรฐานความปลอดภัยอาหารสากล เช่น HACCP, GMP, ISO 22000 และ BRC มาใช้ในกระบวนการผลิต การพัฒนาระบบติดตามและตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability Systems) ที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบและกระบวนการผลิตได้อย่างแม่นยำ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบเฝ้าระวังโรคสัตว์และโรคติดต่อใหม่ รวมถึงการลงทุนในงานวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางชีวภาพอย่างต่อเนื่อง

การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและระบบโลจิสติกส์
ผลกระทบของความเสี่ยง:
ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานและระบบโลจิสติกส์ทั่วโลกถูกจัดให้เป็นหนึ่งในความเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ภายใต้แรงกดดันจากความขัดแย้งทางการค้า ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพึ่งพิงโครงข่ายขนส่งที่มีข้อจำกัดมากขึ้น ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของสินค้าและวัตถุดิบ ก่อให้เกิดแรงกดดันต่อเสถียรภาพของราคาสินค้า อุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก ตลอดจนการดำรงอยู่ของธุรกิจในระยะยาว สำหรับเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งดำเนินธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ เกษตรและอาหาร พาณิชยกรรม อีคอมเมิร์ซ ยานยนต์ พลังงาน และการขนส่ง ความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและระบบโลจิสติกส์ส่งผลกระทบในหลายมิติ เช่น ความล่าช้าในการผลิตและการส่งมอบสินค้า ต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้น ความไม่ต่อเนื่องในการให้บริการแก่ลูกค้า และความเสี่ยงเชิงภาพลักษณ์ที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้เสีย นอกจากนี้ ความล่าช้าหรือการขาดแคลนวัตถุดิบที่สำคัญ อาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของเครือฯ ในตลาดทั้งในและต่างประเทศ
การบริหารความเสี่ยง:
เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความพร้อมของห่วงโซ่อุปทาน อาทิ การกระจายแหล่งที่มาของวัตถุดิบและคู่ค้าหลายรายเพื่อลดการพึ่งพิงแหล่งเดียว การลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน การประยุกต์ใช้ระบบการวางแผนล่วงหน้า (Predictive Analytics) เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงและการหยุดชะงักที่อาจเกิดขึ้น การพัฒนาศักยภาพด้านโลจิสติกส์ภายในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการจัดทำแผนรับมือภาวะวิกฤติ (Contingency Plans) และแผนฟื้นฟูห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Recovery Plans) อย่างเป็นระบบ
ความเสี่ยงเกิดใหม่
นอกจากการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจแล้ว เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ทำการวิเคราะห์ปัจจัยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นใหม่ โดยพิจารณาจากหลายมุมมอง รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งหมดของเครือฯ คู่ค้า และกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด นอกจากนี้ ยังได้วิเคราะห์ผลกระทบในช่วงเวลาต่าง ๆ เพื่อประเมินระดับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและกำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบที่เหมาะสม

การละเมิดการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์และจริยธรรมดิจิทัล
ผลกระทบของความเสี่ยง:
การพัฒนาและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจในหลายภาคส่วนอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญกับการจัดทำนโยบายและกฎระเบียบใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ ในขณะเดียวกัน ประเด็นเรื่องจริยธรรมดิจิทัล เช่น ความเป็นธรรม ความโปร่งใส ความปลอดภัยของข้อมูล และการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล ก็ได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจาก การขาดกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนหรือการใช้เทคโนโลยี AI อย่างไม่ระมัดระวังอาจนำไปสู่ความเสียหายทั้งในระดับธุรกิจและสังคม และสร้างความเสี่ยงต่อชื่อเสียง ความไว้วางใจ และการปฏิบัติตามกฎหมายขององค์กร สำหรับเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งดำเนินธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม และมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาประยุกต์ใช้ทั้งในภาคการสื่อสารโทรคมนาคม อีคอมเมิร์ซ บริการทางการเงิน และระบบการบริหารจัดการภายในองค์กร มีความเสี่ยงที่ต้องเผชิญจากการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบเกี่ยวกับ AI และข้อกำหนดด้านจริยธรรมดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น ความเสี่ยงด้านกฎหมายจากการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่ ๆ ความเสี่ยงด้านความไว้วางใจของผู้บริโภค ความเสี่ยงจากการเกิดอคติในอัลกอริธึม (Algorithmic Bias) รวมถึงความเสี่ยงด้านการรั่วไหลหรือการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
การบริหารความเสี่ยง:
เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์และจริยธรรมดิจิทัล เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้กำหนดให้มีแนวทางการดำเนินงานที่ครอบคลุมมิติต่าง ๆ ได้แก่ การวางมาตรฐานการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ที่ยึดหลักความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการเคารพสิทธิส่วนบุคคล การติดตามและประเมินความเสี่ยงจากการใช้ AI ในทุกกระบวนการอย่างต่อเนื่อง การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI และจริยธรรมดิจิทัลให้กับผู้บริหารและพนักงานทุกระดับ การจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อกำกับดูแลการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเชิงกฎหมายเพื่อรองรับการปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ ๆ ที่อาจมีการประกาศใช้ในอนาคต การดำเนินงานเหล่านี้ สนับสนุนความมุ่งมั่นของเครือฯ ในการใช้ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีอย่างมีความรับผิดชอบ ภายใต้หลักการที่คำนึงถึงสิทธิของบุคคล ความยุติธรรม และผลกระทบทางสังคมในระยะยาว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสีย และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการล่มสลายของระบบนิเวศ
ผลกระทบของความเสี่ยง:
เครือเจริญโภคภัณฑ์ตระหนักถึงความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การใช้ทรัพยากรเกินขีดความสามารถในการฟื้นฟู และการขยายตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจที่ขาดความยั่งยืน แนวโน้มดังกล่าวได้เร่งให้เกิดความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศสำคัญ เช่น ป่าไม้ พื้นที่ชุ่มน้ำ แนวชายฝั่ง แม่น้ำ และระบบนิเวศทางทะเล รวมถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอย่างต่อเนื่อง การล่มสลายของระบบนิเวศและการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานของเครือฯ ทั้งในด้านการจัดหาวัตถุดิบทางการเกษตรและอาหารสัตว์ที่มีความมั่นคง การลดลงของผลผลิตจากภาคการเกษตร การเพิ่มต้นทุนในการบริหารจัดการทรัพยากรดินและน้ำ ตลอดจนการเพิ่มความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานในระยะยาว นอกจากนี้ การเสื่อมโทรมของระบบนิเวศยังลดทอนศักยภาพของธรรมชาติในการกักเก็บคาร์บอน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถของเครือฯ ในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้นจากหน่วยงานภาครัฐและแรงกดดันจากผู้มีส่วนได้เสียที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
การบริหารความเสี่ยง:
เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากการการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการล่มสลายของระบบนิเวศ โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการจัดหาวัตถุดิบและการผลิตในลักษณะที่เคารพต่อขีดความสามารถในการฟื้นฟูของธรรมชาติ ผ่านการขยายการใช้แหล่งผลิตและวัตถุดิบที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนในระดับสากล การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตรสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรอบคอบและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งดำเนินโครงการส่งเสริมการดูแลและฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่ที่เครือฯ มีการดำเนินงานหรือมีความเกี่ยวข้องทางธุรกิจ เช่น การปลูกป่า การฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรม และการอนุรักษ์แหล่งน้ำธรรมชาติ นอกจากนี้ เครือฯ ได้พัฒนากระบวนการประเมินความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพอย่างรอบด้าน เพื่อระบุความเสี่ยงสำคัญในพื้นที่ปฏิบัติงาน และวางแผนการจัดการเชิงรุกเพื่อลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ พร้อมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันระหว่างธุรกิจกับชุมชนในระยะยาวด้วยแนวทางการดำเนินงานที่มุ่งเน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล

การขาดแคลนทรัพยากรน้ำ
ผลกระทบของความเสี่ยง:
การขาดแคลนน้ำได้กลายเป็นหนึ่งในความเสี่ยงเชิงระบบที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในหลายภูมิภาค ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเติบโตของประชากรเมือง การขยายตัวของภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพ ความเสี่ยงด้านการขาดแคลนทรัพยากรน้ำไม่เพียงกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและสุขอนามัย แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่เชื่อมโยงกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว สำหรับเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งดำเนินธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่ภาคการเกษตร ไปจนถึงการบริการ การขาดแคลนน้ำส่งผลกระทบโดยตรงต่อความต่อเนื่องของกระบวนการผลิต ต้นทุนการดำเนินงาน และความสามารถในการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการอย่างมีประสิทธิภาพ ความเสี่ยงนี้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นในพื้นที่ที่เครือฯ ดำเนินธุรกิจในภูมิภาคที่ประสบภาวะภัยแล้งบ่อยครั้ง หรือมีการแย่งชิงทรัพยากรน้ำระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านการใช้น้ำที่เข้มงวดจากภาครัฐ ต้นทุนการบริหารจัดการน้ำที่สูงขึ้น หรือความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว นอกจากนี้ การขาดแคลนน้ำยังอาจกระทบต่อความสัมพันธ์กับชุมชนท้องถิ่น หากมีการใช้น้ำแข่งขันกับการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชน
การบริหารความเสี่ยง:
เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ดำเนินการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการขาดแคลนน้ำอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำในกระบวนการผลิต การลงทุนในเทคโนโลยีการรีไซเคิลน้ำและการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการสำรวจและพัฒนาศักยภาพแหล่งน้ำสำรองในพื้นที่ดำเนินงาน นอกจากนี้ เครือฯ ยังบูรณาการแนวทางการอนุรักษ์น้ำในห่วงโซ่อุปทาน และส่งเสริมความร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนร่วมกัน พร้อมทั้งดำเนินการประเมินความเสี่ยงด้านน้ำในแต่ละพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อระบุจุดเสี่ยงท่ีสำคัญและพัฒนามาตรการลดความเสี่ยงที่เหมาะสม

การอพยพย้ายถิ่นและการขาดแคลนแรงงานที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ผลกระทบของความเสี่ยง:
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เป็นตัวเร่งให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นของประชากรในหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และพายุรุนแรง สิ่งเหล่านี้เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่อาจก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานแรงงานและความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว ความเสี่ยงจากการอพยพย้ายถิ่นที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบโดยตรงการดำเนินธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิตและการบริการ ต้นทุนแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น ความเสี่ยงในการรักษาประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพการให้บริการ รวมถึงผลกระทบต่อความสามารถในการขยายธุรกิจในพื้นที่ที่ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรอย่างรวดเร็วจากการย้ายถิ่นฐาน อาจสร้างแรงกดดันต่อสังคมและโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ดำเนินงาน
การบริหารความเสี่ยง:
เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงดังกล่าวอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบแรงงานในห่วงโซ่อุปทาน การพัฒนาทักษะแรงงานในพื้นที่ดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการสนับสนุนการจ้างงานในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคตและการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจและสังคม นอกจากนี้ เครือฯ ยังได้บูรณาการแนวคิด "การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม" (Just Transition) เข้าสู่กระบวนการปรับตัวทางธุรกิจ ผ่านการสร้างกลไกการดูแลแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน เช่น การส่งเสริมโอกาสในการฝึกอบรมใหม่ (Reskilling) และการเสริมทักษะเพิ่มเติม (Upskilling) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้แรงงานสามารถปรับตัวและประกอบอาชีพใหม่ ๆ ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว พร้อมทั้งมุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรกับสถาบันการศึกษา องค์กรพัฒนาฝีมือแรงงาน และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อยกระดับคุณภาพกำลังคนในสาขาที่มีแนวโน้มขาดแคลนแรงงาน ตลอดจนสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการกำหนดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างครอบคลุมและเป็นธรรม
การสร้างวัฒนธรรมการจัดการความเสี่ยง
เพื่อให้เครือเจริญโภคภัณฑ์สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอนของการดำเนินธุรกิจ เครือฯ จึงได้ให้ความสำคัญในการเสริมสร้างวัฒนธรรมการจัดการความเสี่ยงให้เกิดขึ้นทั่วทั้งองค์กร
โดยมีแนวทางดังนี้ การประกาศใช้นโยบายและแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ การทบทวนโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงให้มีความชัดเจนในบทบาทหน้าที่มากยิ่งขึ้น การสื่อสารและการอบรมด้านความเสี่ยง และการเผยแพร่ความรู้ด้านการบริหารความเสี่ยง นอกจากนี้ เครือฯ ยังมีระบบการตรวจสอบภายในที่เข้มงวดเพื่อให้มั่นใจถึงการปฏิบัติตามโปรแกรมการจัดการความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด โดยกระบวนการตรวจสอบภายในนี้จะทบทวนและติดตามความสอดคล้องกับนโยบายการจัดการความเสี่ยงที่จัดตั้งขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ระบุพื้นที่ที่ต้องการการปรับปรุง และมั่นใจว่ามีการดำเนินการแก้ไขทันทีเพื่อบรรเทาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
เจริญโภคภัณฑ์มีเป้าหมายเพื่อให้พนักงานทุกระดับเอาใจใส่ต่องานประจำวันและตระหนักถึงกฎการบริหารความเสี่ยงของเครือฯ เครือฯ จึงได้มีการนำประเด็นด้านการบริหารความเสี่ยงเป็นหนึ่งในเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงาน

การอบรมด้านความเสี่ยง
เครือเจริญโภคภัณฑ์จัดหลักสูตรฝึกอบรมด้านความเสี่ยงให้แก่ผู้บริหารและพนักงานเป็นประจำ เพื่อปลูกฝังความเข้าใจและการปฏิบัติที่ถูกต้อง ซึ่งนำไปสู่การป้องกันการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อบังคับ และระเบียบต่าง ๆ ของรัฐบาลและของเครือฯ
1. หลักสูตรประสิทธิภาพของการควบคุมความเสี่ยง
หลักสูตรนี้จัดทำขึ้นสำหรับผู้บริหารและหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการบริหารความเสี่ยงของกลุ่มธุรกิจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจของผู้บริหารและพนักงานเกี่ยวกับมาตรการควบคุมความเสี่ยง และสามารถนำแนวทางและวิธีการติดตาม วัดผล และประเมินมาตรการบริหารความเสี่ยงของกิจการได้
2. การบริหารความเสี่่ยงของเครือฯ และการประเมินความเสี่ยงองค์กร
หลักสูตรนี้จัดทำขึ้นสำหรับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านการบริหารความเสี่่ยง ความเข้าใจตามบทบาทหน้าที่่ในการกำกับดููแลงานบริหารความเสี่ยงองค์กร โดยหัวข้อของการอบรม ได้แก่ ประสิทธิภาพของการควบคุมความเสี่่ยง ซึ่งจัดขึ้นสำหรับผู้บริหารและหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการบริหารความเสี่ยงของกลุ่มธุรกิจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจของผู้บริหารและพนักงานเกี่ยวกับมาตรการควบคุมความเสี่ยง