ข่าวสารความยั่งยืน

เครือซีพีผนึกกำลังทุกกลุ่มธุรกิจ จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “C.P. GROUP Carbon Neutral 2030” พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ย้ำเป้าหมาย วางแผนโรดแมพ พร้อมลงมือทำจริง เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573

15 สิงหาคม 2568

วันที่ 15 สิงหาคม 2568 – เครือเจริญโภคภัณฑ์ จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “Carbon Neutral Workshop” ณ True Digital Park ระดมความร่วมมือจากทุกกลุ่มธุรกิจในเครือ พร้อมผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมชั้นนำของไทย เพื่อวางแผนกลยุทธ์สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2573 โดยผู้แทนแต่ละกลุ่มธุรกิจได้นำเสนอแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมรับข้อเสนอแนะเชิงวิชาการและแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม สะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นและพลังความร่วมมือจากทุกกลุ่มธุรกิจสำหรับผลักดันนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การประชุมครั้งนี้ยังตอกย้ำภาพลักษณ์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนอนาคตที่สมดุลระหว่างธุรกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างมั่นคง โดยมีผู้บริหารเครือฯ และกลุ่มธุรกิจเข้าร่วมกว่า 100 ท่าน นำโดย ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ คุณจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร ผู้บริหารสูงสุดด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ คุณสมเจตนา ภาสกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความยั่งยืน คุณมาลี อุทัยกิตติศัพท์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าสายงานกลยุทธ์ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น คุณศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CP AXTRA และผู้บริหารระดับสูงด้านความยั่งยืน

ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า การเดินหน้าสู่ “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutral) ภายในปี 2573 เป็นโจทย์ท้าทาย เนื่องจากธุรกิจยังต้องเติบโตควบคู่ไปด้วย องค์กรจึงต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและจริงจัง ภายใต้การนำของนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่ได้ผนึกกำลังจากทุกกลุ่มธุรกิจให้ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน สอดคล้องกับคำมั่นของประเทศไทยในเวทีโลก

ดร.ธีระพล กล่าวต่อว่า เราเป็นองค์กรที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมในการสร้างอาหารคน อาหารสมอง โอกาสในการเข้าถึงคุณค่า เพื่อสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีสำคัญทุกคน องค์กรได้กำหนด 15 เป้าหมายความยั่งยืน โดยมี 3 เป้าหมายใหญ่ (3 Big Goals) ได้แก่ 1) Carbon Neutral ปี 2573 และ Net Zero ปี 2593 2) Zero Waste และ Sustainable Packaging และ 3) การลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะการยกระดับให้ผู้คนไม่น้อยกว่า 50 ล้านคนเข้าถึงการศึกษา

ทั้งนี้ สถิติการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเครือซีพีในปี 2567 ครอบคลุมทั้ง Scope 1, Scope 2 และ Scope 3 โดย Scope 1 และ 2 ตั้งเป้าลดจาก 6.43 ล้านตัน ให้เหลือ 3.73 ล้านตันภายในปี 2573 ขณะที่ Scope 3 ซึ่งครอบคลุมห่วงโซ่ทางธุรกิจทั้งหมด อยู่ที่ 34 ล้านตัน และตั้งเป้าลดให้เหลือ 25.69 ล้านตัน

“ทุกวันนี้เราเห็นความพยายามอย่างจริงจังจากทุกกลุ่มธุรกิจภายใต้เครือฯ ที่ลงมือปฏิบัติในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการปรับกระบวนการผลิต การนำเทคโนโลยีสะอาดมาใช้ หรือการร่วมมือกับพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทาน จนสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรม นี่ไม่ใช่เพียงตัวเลขที่ลดลง แต่คือการพิสูจน์ว่าเป้าหมาย Carbon Neutral 2030 สามารถเกิดขึ้นได้จริง หากเราร่วมแรงร่วมใจกัน” ดร.ธีระพลกล่าว

สำหรับแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เครือฯ จะดำเนินการใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1) ใช้พลังงานหมุนเวียน 50% ประกอบด้วย Solar PV 3 กิกะวัตต์ ไบโอแมส 15 ล้านกิกะจูล และไบโอแก๊ส 5 ล้านกิกะจูล 2) เพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน 20% ผ่านระบบผลิตพลังงานความร้อนร่วม มอเตอร์ประสิทธิภาพสูง และระบบอัตโนมัติ และ 3) การปลูกและอนุรักษ์ป่าไม้ พร้อมยกเลิกการใช้ถ่านหิน รวมถึงเร่งพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ เป็นต้น

คุณจีระณี จันทร์รุ่งอุทัย Head of Global Net-Zero บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟได้รับการอนุมัติเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกตาม Science Based Targets Innitiative (SBTi) เมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 และประกาศเป้าหมายสู่สาธารณะในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน พร้อมรายงานความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องทุกปี

สำหรับเป้าหมายระยะสั้น ภายในปี 2573 ซีพีเอฟตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 42% จากการใช้พลังงาน และ 30.3% จากการเปลี่ยนแปลงและการจัดการที่ดิน ขณะที่เป้าหมายระยะยาว ภายในปี 2593 ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจกถึง 90% จากการใช้พลังงาน และ 72.0% จากการเปลี่ยนแปลงและการจัดการที่ดิน ครอบคลุมทั้ง Scope 1, Scope 2 และ Scope 3 โดยเฉพาะ Scope 3 ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุปทานที่คิดเป็นมากกว่า 70% ของการปล่อยทั้งหมด

คุณจีระณีกล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน FLAG (Forest, Land and Agriculture Guidance) ซึ่งให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซีพีเอฟจึงได้วางมาตรการรองรับ อาทิ การจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งที่ไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ การใช้อาหารสัตว์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการใช้เชื้อเพลิงสะอาดมากขึ้น

ทั้งนี้ ซีพีเอฟได้วาง 4 กลยุทธ์หลัก หรือ “4 อัจฉริยะ” เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายสู่ความสำเร็จ ได้แก่ การจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน การใช้พลังงานหมุนเวียน การใช้เทคโนโลยีในกระบวนการผลิต และการทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรในทุกภาคส่วน

มร.หลิว อี้หัว (Liu Yihua) และนางสาวเฟิง หนาน (Feng Nan) ผู้แทนกลุ่มธุรกิจเครือเจริญโภคภัณฑ์ เขตประเทศจีน เปิดเผยว่า การดำเนินงานด้านความยั่งยืนในประเทศจีนมีความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ถึง 32.38% พร้อมวางแผนดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยอย่างต่อเนื่องผ่านหลายแนวทาง

หนึ่งในมาตรการสำคัญคือการใช้พลังงานสะอาด โดยปัจจุบันฟาร์มทั้ง 19 แห่งได้ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์แล้ว และมีความร่วมมือกับบริษัทในเครืออย่าง Altervim ในการขยายการติดตั้งเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตพลังงานได้กว่า 1,221 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บางโรงงานยังปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตไข่ไก่ เช่น การใช้เลเซอร์พิมพ์ฉลากบนเปลือกไข่แทนสติ๊กเกอร์ การปรับระบบทำความเย็น การควบคุมอุณหภูมิหม้อน้ำและการควบแน่น ซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 30,000 ตันต่อปี พร้อมลดต้นทุนการดำเนินงานไปพร้อมกัน

ในด้านนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มธุรกิจในจีนได้พัฒนาถังกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ในระบบหม้อต้มไอน้ำ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 20 ตันต่อปี ใช้เชื้อเพลิงไบโอแก๊ส และส่งเสริมเกษตรหมุนเวียน อีกทั้งยังมีการผลักดันให้โรงงานเข้าสู่มาตรฐาน “โรงงานสีเขียว” ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งครอบคลุมทั้งการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการจัดการของเสียอย่างยั่งยืน โดยหากประเทศจีนพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตขึ้นอย่างเป็นระบบ กลุ่มธุรกิจในเขตก็พร้อมที่จะเข้าร่วม เพื่อเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม

คุณอาคม อาจแสง ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ซีพี ออลล์มีเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2573 เช่นเดียวกับเครือฯ โดยในปี 2567 ซีพี ออลล์มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 1.29 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ส่วนในปี 2568 (ข้อมูลครึ่งปีแรก) อยู่ที่ 0.77 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งหากคำนวณทั้งปีคาดว่าจะสูงถึง 1.4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เนื่องจากมีจำนวนสาขาร้านค้าที่มาก และกว่า 97% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาจากการใช้พลังงานไฟฟ้า จึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการใช้พลังงานสะอาดให้มากขึ้น

ทั้งนี้ หลังจากการทำงานอย่างใกล้ชิดกับเครือฯ ซีพี ออลล์ได้วางแผนยุทธศาสตร์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 25,000–30,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และเมื่อมีการดำเนินยุทธศาสตร์ใหม่ จะสามารถลดได้ถึง 80,000–90,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวประกอบด้วย 1) การเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานลง 6% 2) ลดความสูญเปล่าและการใช้พลังงานทั่วทั้งองค์กรลง 4% 3) เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด 4% 4) ปรับปรุงสารทำความเย็นและลดการรั่วไหลลง 13% และ 5) การจัดเตรียมคาร์บอนเครดิตและทางเลือกอื่น ๆ อีก 73%

โดยสรุป เป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573 ของซีพี ออลล์ คือ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 484,207 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือคิดเป็น 27% ลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลลง 596 กิกะวัตต์-ชั่วโมง และชดเชยด้วยคาร์บอนเครดิตจำนวน 1,292,685 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือคิดเป็น 73% ของปริมาณการปล่อยทั้งหมด

คุณวีรศักดิ์ พงษ์ธัญญวิชัย หัวหน้าศูนย์นวัตกรรม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้บริษัทจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก Scope 1 ในสัดส่วนน้อยมาก ส่วนใหญ่การปล่อยเกิดจาก Scope 2 แต่ในปีที่ผ่านมา ทรูก็สามารถบรรลุเป้าหมายด้านการลดก๊าซเรือนกระจกได้สำเร็จ ภารกิจสำคัญในระยะต่อไปคือการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากเสาสัญญาณกว่า 30,000–50,000 เสาทั่วประเทศ แนวทางในการลดพลังงานประกอบด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานจากเสาสัญญาณเดิมให้คุ้มค่ามากขึ้น การร่วมมือกับ Altervim เพื่อติดตั้งโซลาร์เซลล์ผลิตพลังงานทดแทน ซึ่งขณะนี้ได้ติดตั้งแล้วกว่า 10,000 เสา และการพัฒนาอุปกรณ์ผลิตพลังงานหรือเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยคาร์บอน

นอกจากนี้ ทรูได้จัดตั้งศูนย์ Business and Network Intelligence Center (BNIC) เพื่อเพิ่มคุณภาพการใช้พลังงานและลดความสูญเปล่าอย่างเป็นระบบ สำหรับ Scope 3 บริษัทตั้งเป้าร่วมกับคู่ค้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 25% ภายในปี 2573 โดยนายวีรศักดิ์เน้นย้ำว่าความร่วมมือกับคู่ค้าเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและบรรลุเป้าหมายด้านคาร์บอนอย่างแท้จริง

ดร. อนันต์ วัชรพงษ์วินิจ หัวหน้าคณะทำงานด้าน Climate Resilience บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การใช้พลังงานของธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เนื่องจากมีปริมาณการขายสินค้าสูง ย่อมใช้พลังงานที่สูง คล้ายกับความท้าทายของซีพี ออลล์ ในปัจจุบัน การใช้พลังงานทดแทนหรือโซลาร์รูฟทอปถือเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญในการแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ดร. อนันต์กล่าวต่อว่า ตัวเลขการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ Makro และ Lotus’s ลดลงอย่างต่อเนื่องในปี 2567 และ 2568 ซึ่งเป็นผลจากการนำพลังงานทดแทนมาใช้ การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการนำเทคโนโลยีเครื่องจักรผลิตภาพสูง รวมถึงมอเตอร์ประสิทธิภาพสูงเข้ามาใช้ เช่น ระบบอัตโนมัติและระบบเอไอ สำหรับเป้าหมายในอนาคต ภายในปี 2573 ธุรกิจตั้งเป้าหมายให้การใช้พลังงานทดแทนคิดเป็น 31% ของพลังงานทั้งหมด และภายในปี 2593 ขยายสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนให้ถึง 87.6% ของพลังงานทั้งหมด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว จำเป็นต้องผสานการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและผลิตพลังงานจากแหล่งอื่นเพื่อนำมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะเทคโนโลยีเอไอ ได้ร่วมมือกับทรู คอร์ปอเรชั่น ในโครงการตรวจสอบและบริหารจัดการพลังงาน (Energy Monitoring) เพื่อช่วยลดการใช้พลังงานในบางช่วงเวลา เช่น การปรับอุณหภูมิอากาศภายในและภายนอกอาคาร และในอนาคตคาดว่าจะใช้ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage) และเทคโนโลยี UGT เพื่อสนับสนุนการจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน

คุณสมบูรณ์ เลิศสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลเตอร์วิม จำกัด (ALTERVIM) ฉายภาพให้เห็นถึงแนวโน้มการบริโภคไฟฟ้าของกลุ่มธุรกิจในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งมีการใช้พลังงานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10,600 ล้านหน่วย และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเกือบ 7% หรือใกล้ 15,000 ล้านหน่วย ส่งผลให้เป็นความท้าทายด้านพลังงานและมีผลโดยตรงต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เครือจำเป็นต้องเร่งการใช้พลังงานทดแทนและลดการใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอน โดยตั้งเป้าหมายให้สัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดมากกว่า 55% ภายในปี 2573 เพื่อสนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutral และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ในมุมของ ALTERVIM บริษัทได้วาง Roadmap การดำเนินงานที่ชัดเจน เริ่มจากการเน้นการใช้พลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เป็นหลัก ตามด้วยเทคโนโลยีการประหยัดพลังงานและโครงการ Offsite Generation (TPA-Direct PPA) ขณะที่แผนระยะยาวสุดคือการนำพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) มาใช้ ที่ผ่านมา ALTERVIM ได้ติดตั้งโซลาร์เซลล์ร่วมกับหน่วยธุรกิจในเครือทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ พร้อมขยายผลความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินโครงการไบโอแมสเพื่อผลิตพลังงานสีเขียว ซึ่งไม่เพียงช่วยสร้างพลังงานสะอาด แต่ยังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวม พร้อมสนับสนุนนโยบาย Direct PPA สำหรับภาคเอกชน เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและความยั่งยืนของภาคธุรกิจ

คุณวรสิทธิ์ สิทธิวิชัย ประธานคณะผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจพืชครบวงจร เขตประเทศเมียนมา และธุรกิจคาร์บอนเครดิต ระบุว่า เป้าหมายของกลุ่มธุรกิจเพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายระยะสั้นปี 2573 ผ่านการปรับแผนการดำเนินงานเพื่อเก็บคาร์บอนเครดิต อาทิ ในประเทศไทย โครงการนาเปียกสลับแห้ง และหว่านเมล็ดโดยตรงครอบคลุมพื้นที่กว่า 120,000 ไร่ โครงการเกษตรฟื้นฟูที่ดำเนินในพื้นที่ปลูกยางพารา บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย 200,000 ไร่ และโครงการไม้ยืนต้นและยางพารา 500,000 ไร่ ส่วนประเทศเมียนมา มีโครงการนาเปียกสลับแห้งเกือบ 200,000 ไร่ โดยสรุปสามารถสร้างคาร์บอนเครดิตได้ 3.54 ล้านตันคาร์บอน อย่างไรก็ตามบางโครงการบางส่วนยังอยู่ระหว่างการรับรองความถูกต้อง

โดยกลุ่มธุรกิจดำเนินการตามมาตรฐานสากล เช่น Gold Standard for the Global Goals, Verified Carbon Standard, T-Ver และ Premium T-Ver กล่าวคือ หากเป็นมาตรฐานสากลของนาข้าว และยางพารา สามารถใช้มาตรฐานสากลอย่าง Verra และ Gold Standard คือ มาตรฐานคาร์บอนเครดิตสากลที่ใหญ่ที่สุด ที่เน้นประโยชน์ด้านสังคม และสิ่งแวดล้อม

ขณะเดียวกันผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนภายนอกได้เข้าร่วมให้ความคิดเห็นต่อการเสนอแผนของกลุ่มธุรกิจ อาทิ ผศ.ดร.อรอนงค์ ลาภบริสุทธิ์ อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เห็นความตั้งใจและความพยายามของทุกหน่วยธุรกิจ แม้เป้าหมายจะท้าทาย แต่ทุกฝ่ายรู้ข้อมูลของตัวเองและดำเนินการอย่างมีระบบ โดยเฉพาะในภาคเกษตร ซึ่งมีความซับซ้อนในการเก็บข้อมูลทั้งด้านอาหารคนและอาหารสัตว์ การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมช่วยให้ข้อมูลที่ได้ไม่เพียงถูกจัดเก็บ แต่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ทั้งในด้านการคาดการณ์ การวางแผนการใช้ทรัพยากร และการพัฒนากระบวนการเชิงวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ ผศ.ดร.อรอนงค์เน้นย้ำว่าการที่ภาคเอกชนขยับตัวและเดินหน้าอย่างจริงจัง จะช่วยให้เป้าหมายของประเทศสามารถบรรลุผลได้ง่ายขึ้น และสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนมีส่วนร่วมตามมา

คุณนครินทร์ หอมดี ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรม ฝ่ายพัฒนาและจัดการความรู้ สถาบันเทคโนโลยีไทย–ญี่ปุ่น กล่าวว่า ภายในกลุ่มธุรกิจเขาเห็นความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่ชัดเจน โดยหลายหน่วยธุรกิจได้รับการรับรอง SBTi และมีการตั้งเป้าหมายพื้นฐานพื่อเก็บข้อมูลและวิเคราะห์การปล่อยก๊าซ Scope 1, 2 และ 3 ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการวางแผนลดการปล่อยก๊าซอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการบริหารจัดการการใช้พลังงานและการขยายพลังงานทดแทน นอกจากนี้ในภาพรวม ภาคเอกชนต้องเริ่มปรับตัวอย่างจริงจัง เพราะการเติบโตของธุรกิจย่อมส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ในหลายประเทศ เช่น เยอรมนี ภาคอุตสาหกรรมเริ่มนำเทคโนโลยี Industry 5.0 มาใช้เพื่อต่อยอดสู่ความยั่งยืน ซึ่งถือเป็นแนวทางที่ประเทศไทยและกลุ่มธุรกิจในเครือสามารถนำมาปรับใช้ได้เช่นกัน

รศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ภานุวัฒน์วนิชย์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ระบุว่า การมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutral ปี 2573 และ Net Zero ปี 2593 ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นโจทย์ท้าทายอย่างมาก เนื่องจากแต่ละกลุ่มธุรกิจมีลักษณะและรูปแบบการดำเนินงานที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็นร่วมกันคือความพยายามอย่างจริงจังของทุกหน่วยธุรกิจในการบรรลุเป้าหมายด้านคาร์บอน โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันข้ามกลุ่มธุรกิจ ส่วนแผนการดำเนินงานสำหรับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 1 และ 2 มีความก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ Scope 3 ซึ่งครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานยังถือเป็นความท้าทายที่ต้องขับเคลื่อนต่อเนื่อง ทั้งนี้ หน่วยธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยี เช่น AI, IoT หรือ Carbon Capture สามารถเป็นต้นแบบให้หน่วยธุรกิจอื่นต่อยอดและพัฒนาแนวทางใหม่ ๆ ได้ ซึ่งในภาพรวมภาคเอกชนควรเริ่มปรับตัวและขยับตัวอย่างจริงจัง ส่วนภาครัฐควรสนับสนุนด้วยนโยบายต่าง ๆ เพื่อให้เป้าหมายด้านคาร์บอนเป็นไปได้อย่างยั่งยืน

ขณะเดียวกัน รศ.ดร.ชินธันย์ อารีประเสริฐ หัวหน้าศูนย์วิศวกรรมพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แสดงความชื่นชมต่อความตั้งใจของกลุ่มธุรกิจเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการผลักดันเป้าหมาย Carbon Neutral และ Net Zero โดยระบุว่า แม้แต่ละกลุ่มธุรกิจมีความแตกต่างกัน แต่การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ เช่น พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์และชีวมวล รวมถึงการใช้ AI และ IoT ในกระบวนการผลิต สามารถช่วยให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ