“ประธานอาวุโสธนินท์ เจียรวนนท์” ได้รับเกียรติขึ้นเวที Nikkei Forum 2025 ย้ำภาคเกษตรคือเทคโนโลยีแห่งอนาคต และเป็นโอกาสครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น

01 June 2025

โตเกียว , 29- 30 พฤษภาคม 2568 : ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และสงครามการค้า งาน “Nikkei Forum: The30th Future of Asia 2025” ได้เปิดเวทีหารือระดับผู้นำที่สำคัญที่สุดแห่งปี ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้หัวข้อหลัก “Asia’s Challenge in a Turbulent World” หรือ “ความท้าทายของเอเชีย ท่ามกลางโลกที่ปั่นป่วน” โดยมีผู้นำรัฐบาล นักเศรษฐศาสตร์ และนักคิดระดับโลกเข้าร่วมอย่างคับคั่ง รวมถึงท่านประธานอาวุโสธนินท์ เจียรวนนท์ จากเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งได้รับเกียรติจาก Nikkei เชิญร่วมงานพร้อมแสดงวิสัยทัศน์ในฐานะผู้นำภาคเอกชนจากประเทศไทย ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ที่ท่านได้รับเกียรติเชิญไปแสดงวิสัยทัศน์ โดยครั้งที่ 1 เป็นงาน the 8th International Conference ในปี 2002 และครั้งที่ 2 ในงาน 16th Nikkei Global Management Forum ในปี 2014

“ผู้นำจากทั่วเอเชียร่วมเวทีระดับโลก”

บรรยากาศภายในงานมีผู้นำระดับสูงจากประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมอย่างอบอุ่น เช่น นายกรัฐมนตรีชิเกรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น ประธานาธิบดีทองลุน สีสุลิด แห่งลาว นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต แห่งกัมพูชา รองนายกรัฐมนตรีเหงียน จิ ดุง แห่งเวียดนาม รองนายกรัฐมนตรีกัน คิม ยง แห่งสิงคโปร์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ จากประเทศไทย พร้อมด้วย ดร.มูฮัมหมัด ยูนุส ที่ปรึกษารัฐบาลเฉพาะกาลของบังกลาเทศ

นอกจากนี้ท่านประธานอาวุโสธนินท์ยังได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองผู้นำในช่วงเย็นวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ก่อนเริ่มประชุมอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของการได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ และสะท้อนบทบาทของภาคเอกชนไทยที่สามารถสร้างสายสัมพันธ์กับรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ได้อย่างแน่นแฟ้น

ท่านประธานอาวุโส กับ คัตสึโนบุ คาโตะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประเทศญี่ปุ่น (คนที่สองทางขวา)

ท่านประธานอาวุโส กับ เก็น นากาทานิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประเทศญี่ปุ่น

ท่านประธานอาวุโส กับ ทองลุน สีสุลิด ประธานาธิบดี ประเทศลาว

“ชู เกษตรกรรม คืออุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีมากที่สุดของโลก”

บนเวทีการประชุม ท่านประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ “ธนินท์ เจียรวนนท์” ได้กล่าวถึงอนาคตของเอเชียผ่านมุมมองที่เฉียบคมและลึกซึ้ง โดยเน้นย้ำว่า ภาคเกษตรกรรม ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นภาคพื้นฐาน แต่กลับเป็นภาคที่ใช้ไฮเทคหรือเทคโนโลยีชั้นสูงมากที่สุด

“หลายคนมองว่าเกษตรเป็นเรื่องพื้นฐาน ล้าสมัย แต่ในความเป็นจริงเกษตรเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ไฮเทคหรือเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างมาก เช่น การเลี้ยงหมูนั้นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านพันธุกรรม การวิจัยโรคการพัฒนาสูตรอาหารสัตว์ การจัดการฟาร์ม การป้องกันโรค ฯลฯ เพราะไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาพันธุ์หมู หรือหมูพันธุ์พ่อแม่พันธุ์ ล้วนต้องอาศัยนักวิจัยและและผู้เชี่ยวชาญระดับสูง” ท่านประธานอาวุโสธนินท์กล่าว และเสริมต่อไปว่า “หมู วัว ไก่ ปลา ก็เหมือนคน — มีโรค มีป่วย มีพฤติกรรมเฉพาะตัว เพียงแต่พูดไม่ได้ เราจึงต้องมีนักวิชาการพัฒนาพันธุ์ นักโภชนาการอาหารสัตว์ที่ออกแบบสูตรอาหารสัตว์ และการป้องกันโรค”

เกษตรกรรม คือ จุดเริ่มต้นของ “ห่วงโซ่อาหาร” ดังนั้นเกษตรกรรมจึงมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือแย่ คนก็ยังต้องกินอาหาร และเกษตรกรรมมีเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมอาหาร โลจิสติกส์ และค้าปลีก เป็นระบบนิเวศเดียวกัน และถึงวันนี้คนทั่วไปก็อาจยังไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้ว “ไฮเทคหรือเทคโนโลยีขั้นสูงถูกใช้ในภาคเกษตรมากที่สุด” ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา เกษตรกรคนหนึ่งสามารถปลูกพืชได้ถึง 5,000–6,000 เอเคอร์ด้วยการใช้รถแทรกเตอร์อัจฉริยะ ในอดีตต้องใช้เครื่องบินพ่นยาฆ่าแมลง แต่ปัจจุบันใช้โดรนไร้คนขับแทน ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง แม่นยำกว่า และปลอดภัยกว่า ซึ่งแม้ว่าอุตสาหกรรมอาหารจะเติบโตอย่างมาก แต่ในท้ายที่สุดอุตสาหกรรมทั้งหมดนี้ก็มีจุดเริ่มต้นจาก “ภาคเกษตรกรรม”

นอกจากนี้ท่านประธานอาวุโสยังอธิบายว่าเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดล้วนเริ่มต้นจากภาคเกษตรกรทั้งสิ้น และเมื่อมองไปข้างหน้าภาคเกษตรกรรมก็ยังถือเป็นธุรกิจที่ต้องพึ่งพาไฮเทคอย่างมาก ในอนาคตการพัฒนาเทคโนโลยี จะทำให้ไม่ต้องพึ่งพาสารเคมีอีกต่อไป ในที่สุดก็อาจจะสามารถปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ในสภาพแวดล้อมแบบไร้ออกซิเจนหรือแม้แต่ในอวกาศได้ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการเกษตรคือภาคส่วนที่ก้าวหน้าที่สุดด้านเทคโนโลยี

“เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า ผลผลิตเกษตรจะมีราคาถูกลง แต่คุณภาพสูงขึ้น และสามารถออกแบบให้ตรงกับสุขภาพของแต่ละคน เช่น ผู้เป็นเบาหวาน หรือ ความดันโลหิตสูง นี่คืออนาคตของอาหารที่เชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์การแพทย์และชีววิทยา” ประธานอาวุโส เครือซีพี กล่าว

ประธานอาวุโสธนินท์ อธิบายต่อไปว่า ยุคไฮเทคเป็นยุคที่ใช้ “พลังงานจากสมอง” ไม่ใช่การใช้ “พลังแรง” อีกต่อไป คนไฮเทคต้องมีความรับผิดชอบสูง เพราะถ้ามีอะไรผิดพลาด จะทำให้เกิดความเสียหายมาก นอกจากนี้ยุคไฮเทคจะเป็นยุคที่ ของดี ราคาถูก ซึ่งมาจากการผลิตที่ใช้เทคโนโลยี เพิ่มความเร็ว ต้นทุนถูกลง

“ตอนนี้เป็นยุคข้อมูล โปร่งใส ราคาสินค้าเป็นราคาของโลก ใครถูกสุดดีสุด ก็สามารถรู้ได้ ค้นหาข้อมูลได้ง่าย ยุคที่ผู้ผลิตสินค้าดี ขายราคาสูงได้จบลงแล้ว สินค้าดี ราคาถูกสุด ต้องใช้ไฮเทคทำให้ต้นทุนลดลง ต้องใช้ความเร็ว ปลาเร็วกินปลาช้า ถ้าผลิตของดี ผลิตช้า ต้นทุนสูง ไม่ใช่แล้ว อย่างโรงงานผลิตอาหาร ต้องไร้คน ใช้หุ่นยนต์ ความเร็ว ผลิต 24 ชั่วโมงผลิตเร็ว 5 เท่ากว่าเดิม แต่อย่างไรก็ตามเร็วอย่างเดียวไม่พอ ต้องคุณภาพ และราคาถูก” ประธานอาวุโส กล่าวย้ำ

“ในภาคเกษตรบรรดาบริษัทต่าง ๆ ก็มีผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถมาทำการวิจัยเกี่ยวกับสินค้าเกษตร ซึ่งในอนาคตเมื่อมีการนำไฮเทคมาใช้มากขึ้นก็จะยิ่งสร้างประโยชน์ให้กับมนุษย์ เพราะผลิตผลทางเกษตรที่ผ่านการพัฒนาและวิจัยด้วยไฮเทคจะกลายเป็นอาหารคุณภาพสูง ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของมนุษย์ หากการวิจัยพัฒนาดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง มนุษย์ในอนาคตอาจมีอายุยืนถึง 120 ปี” ประธานอาวุโส เครือซีพี กล่าว

“โอกาสครั้งยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น”

สำหรับญี่ปุ่น ท่านประธานอาวุโสธนินท์ เจียรวนนท์ มองว่า มาตรการภาษีในยุคประธานาธิบดีทรัมป์ แม้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและหลายประเทศอย่างมีนัยสำคัญ แต่กลับกลายเป็นปัจจัยที่เปิดโอกาสสำคัญให้กับญี่ปุ่น

เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ทั้งในด้านบุคลากร เทคโนโลยี และระบบการเงิน อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐฯ และสามารถร่วมมือกับทุกประเทศได้ โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญของญี่ปุ่นในวันนี้

สถานการณ์ในปัจจุบันที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญการแข่งขันกับจีน ทำให้ญี่ปุ่นมีอิสระมากขึ้นในการพัฒนาเทคโนโลยี นับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ญี่ปุ่นสามารถใช้จุดแข็งเดิม ผนวกกับบริบทใหม่ เพื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของภูมิภาค

นอกจากนี้ท่านประธานอาวุโสธนินท์ ได้แสดงความเห็นต่อสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยระบุว่า ประเทศในอาเซียนอาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่ไม่รุนแรงเท่าประเทศส่งออกรายใหญ่ พร้อมชี้ว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ยังมีโอกาสทางเศรษฐกิจอีกมาก เพราะญี่ปุ่นมีพื้นฐานดีกว่าประเทศอื่น คนญี่ปุ่นเป็นคนละเอียด ขยันอดทน ไฮเทค และมีระบบการเงินที่ดี การมี “ต้นทุนพื้นฐาน” ที่พร้อมต่อยอดได้ทันทีในยุคไฮเทคนี้

“สันติภาพ จะทำให้ เศรษฐกิจและธุรกิจก็จะเดินหน้าได้ ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับรัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่นที่ไม่อยากให้เกิดสงคราม” ท่านประธานอาวุโสธนินท์ เจียรวนนท์ กล่าวบนเวที และกล่าวต่อไปว่าอยากให้การค้าโลกเป็นการค้าเสรีเหมือนที่เคยเป็นมา

ประธานอาวุโสกล่าวต่อไปว่า คนในยุคไฮเทค ต้องมีความรับผิดชอบสูง คนญี่ปุ่นเหมาะกับการผลิตสินค้าไฮเทค ประเทศไหนที่เหมาะกับผลิตโดยใช้ไฮเทคได้ ญี่ปุ่นก็ไปผลิตที่ประเทศนั้น ใช้วัตถุดิบ คนของประเทศนั้่น หรือจะไปจีน ไปอเมริกา ไปยุโรปก็ได้ ดังนั้นหากพิจารณาว่าประเทศไหนเหมาะสม ก็ไปลงทุนผลิตและขายที่นั่น ทำให้ประเทศนั้นเจริญ เหมือนอย่างบริษัทใหญ่ ๆ ของญี่ปุ่น เคยมีประสบการณ์ส่งเสริมธุรกิจเอสเอ็มอีให้เติบโต ให้ทุน ให้เทคโนโลยี

ส่วนบทบาทของญี่ปุ่นในบริบทการลงทุนระหว่างประเทศ ท่านประธานอาวุโสได้เสนอแนวคิดที่สะท้อน “ความเป็นผู้นำเชิงคุณค่า” ของญี่ปุ่นว่า หากต้องการให้การลงทุนในต่างประเทศเกิดผลดีอย่างแท้จริง ญี่ปุ่นควรมองประเทศที่ไปลงทุนให้เสมือนเป็นประเทศของตนเอง ซึ่งหมายถึงการช่วยให้ประเทศเจ้าบ้านเติบโตไปพร้อมกับเรา แล้วใช้โอกาสนี้ในการยกระดับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของตนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมเป็นผู้นำในภูมิภาค นอกจากนี้ยังชี้ด้วยว่าในยุคที่เทคโนโลยีสามารถนำมาใช้ลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพ และเร่งความเร็วในการผลิตได้อย่างมหาศาล การย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีศักยภาพไม่ใช่เพียงเรื่องของต้นทุนที่เหมาะสม แต่ต้องควบคู่กับการยกระดับท้องถิ่น เคารพกฎเกณฑ์ และสร้างความเจริญให้กับประเทศนั้น ๆ

“ประธานอาวุโสธนินท์ ผู้นำของเครือซีพี ผู้นำระดับโลก”

การขึ้นเวทีครั้งนี้ของ “ท่านประธานอาวุโสธนินท์ เจียรวนนท์” ไม่ได้เพียงสะท้อนบทบาทของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในระดับภูมิภาค แต่ยังตอกย้ำภาพผู้นำไทยที่ “คิดไกล เห็นลึก และมุ่งมั่นสร้างประโยชน์ให้ทั้งสังคม” ด้วยวิสัยทัศน์ที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และมนุษยธรรมเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ

จากร้านขายเมล็ดพันธุ์เล็ก ๆ สู่ธุรกิจเกษตร–อุตสาหกรรม–ค้าปลีกระดับโลก วิสัยทัศน์ของท่านประธานอาวุโสธนินท์คือเครื่องพิสูจน์ว่าผู้นำที่มีคุณภาพสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อทั้งประเทศ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย ถือเป็นความภาคภูมิใจของเครือเจริญโภคภัณฑ์